ภูแซ ภูผาอัศจรรย์มหาวิทยาลัยพระโพธิสัตต์
มิติลึกลับที่ซ้อนทับกันอยู่ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
ภูแซ ภูผาอัศจรรย์มหาวิทยาลัยพระโพธิสัตต์
ภูแซ เสมือนเป็นมิติลึกลับที่ซ้อนทับกันอยู่ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างมหาบรรพตใหญ่ ๓ บรรพต รอบนอกมหาบรรพตทั้ง ๓ มีกำแพงแก้วสีรุ้งกั้นเขตแดนอยู่ ๙ ชั้น ลักษณะเป็นสายยาวพันม้วนเป็นเกลียวเล็กๆ เรียงต่อกันจนดูคล้ายแผ่นแก้วผลึกขนาดมหึมา ที่ทอดตัวยาวจากพื้นดินจรดแผ่นฟ้า กำแพงแก้วสีรุ้งทั้ง ๙ ชั้นนี้ ล้อมรอบมหาบรรพต กั้นดินแดนหวงห้ามนี้ไว้ เพื่อมิให้ผู้ใดที่มิได้รับอนุญาตย่างกรายเข้ามาในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญอันยิ่งใหญ่สูงสุด นั่นก็คือ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยพระโพธิสัตต์ ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางมหาบรรพตใหญ่ ๓ บรรพต
สัตตบรรพต เป็นเทือกเขา ๗ ยอด ลักษณะของยอดเป็นแก่งหิน คล้ายเจดีย์ใหญ่มหึมาเรียงกันอยู่ ๗ องค์ แต่ละองค์ยอดสูงเสียดฟ้าเทียนเมฆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่เท่า ๘ - ๑๐ คนโอบ ขึ้นปกคลุมอยู่เขียวขจี ดูคล้ายกำแพงแก้วมรกตที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาสัตตบรรพตนี้ เป็นเทือกเขาสำหรับฝึกผู้รู้ที่เลือกมาศึกษาทางสัทธาธิกะ พระโพธิสัตต์ผู้ยิ่งด้วยศรัทธา คือ ทรงบำเพ็ญบารมีศรัทธากล้า แต่มีปัญญาปานกลาง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๘ อสงไขยมหากัป ในการบำเพ็ญมหาบารมี
คีรีบรรพต เป็นเทือกเขาที่มียอดทั้งหมด ๓ ยอด มีขนาดลดลั่นกัน ขนาดย่อมลงมากว่าเทือกเขาแรก แต่ก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน บนยอกเขาอุดมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ลักษณะแปลกประหลาดนานาพันธุ์ เป็นเทือกเขาสำหรับฝึกผู้ที่เลือกมาศึกษาทางปัญญาสิกะ พระโพธิสัตต์ผู้ยิ่งด้วยด้วยปัญญา คือ ทรงบำเพ็ญบารมีชนิดปัญญากล้า ศรัทธาอ่อน ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยแสนมหากัป ในการบำเพ็ญมหาบารมีและเทือกเขาสุดท้าย
ศิริบรรพต เป็นเทือกเขาที่มียอดเดียว ลักษณะกลมมนคล้ายซาลาเปาบนเทือกเขาอุดมไปด้วยป่าไม้ขึ้นเขียวครึ้ม เป็นเทือกเขาสำหรับฝึกผู้ที่เลือกมาศึกษาทางวิริยาธิกะ พระโพธิสัตต์ผู้ยิ่งด้วยด้วยความเพียร คือ ทรงบำเพ็ญบารมีชนิดมีความเพียรกล้า แต่มีปัญญาอ่อน ซึ่งต้องใช้เวลาถึง ๑๖ อสงไขยมหากัปป์ ในการบำเพ็ญมหาบารมี
มหาบรรพตทั้งสามล้อมรอบภูแซอยู่ บนมหาบรรพตทั้ง ๓ จะเป็นที่พักอาศัยของอาจารย์กว่า ๗๐๐ ซึ่งมีหน้าที่คอยสอนนักบวชกว่า ๓๗,๐๐๐รูป แต่ละบรรพตจะมีอาจารย์ซึ่งจะจัดระบบกันเป็นองค์กรย่อยๆ ที่คอยดูแลจัดการเรื่องการสอบเฉพาะบรรพตนั้นๆ อาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิของแต่ละบรรพตจะถูกเลือกให้เข้าไปสอนภายในภูแซ
ส่วนที่พักของผู้ศึกษาธรรมที่นี่จะอยู่รอบๆ บริเวณเชิงเขามหาบรรพต ซึ่งจะพักกันตามวงขั้นของชั้นเรียน ที่พักจะมีลักษณะคล้ายกับวัดใหญ่ๆมีพื้นที่กว้างขวางมาก การจัดสถานที่จะจัดไม่เหมือนกันโดยจะดูตามความเหมาะสม ที่พักของแต่ละวงแม้จะอยู่ใกล้กันแต่ก็ไม่สามารถจะมองเห็นกันได้ เพราะจะสร้างแทรกอยู่ตามหน้าของธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก
ส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของที่นี่คือ “ ภู แ ซ “ สถานที่เรียนธรรมขั้นสูง บรรยากาศของที่นี่จะเหมือนช่วงพลบค่ำตลอดเวลา อากาศเย็นสบาย สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก ภายในภูแซเป็นดินแดนต้องห้าม เพราะสถานที่แห่งนี้มีไว้เฉพาะผู้ที่มุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ผู้ที่จะเข้ามาศึกษาที่นี่ได้ ต้องได้รับคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายต่อหลายขั้น และเป็นผู้ถูกเลือกจากหลวงปู่ใหญ่ให้มาศึกษาธรรมที่นี่ เขาเหล่านั้นจะต้องพร้อมทั้งกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และใจที่พร้อมจะเสียสละเพื่อสรรพสัตว์ ภูแซจึงเป็นเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถก้าวย่างอย่างองอาจและสง่างามเพื่อเขามาเรียนที่นี่ บุคคลที่เป็นผู้ถูกเลือกให้เข้ามาศึกษาธรรมชั้นสูงที่ภูแซจะต้องผ่านการคัดเลือกและทดสอบหลายต่อหลายขั้นกว่าจะได้มาศึกษาธรรมที่นี่
ในการคัดเลือกผู้ที่มีความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้น จะดูจากความอดทน มั่นคง เด็ดเดี่ยวของใจที่ไม่สั่นคลอน คลาดเคลื่อน หรือเปลี่ยนแปลง ในการตัดสินใจที่จะเลือกก้าวเดินบนเส้นทางอันประเสริฐสูงสุดสายนี้ ผู้ที่ถูกเลือกจะต้องผ่านการทดสอบ โดยลงมาเกิด ๑,๐๐๐ ชาติ เพื่อทดสอบเรียนชีวิตและใจที่มั่นคงไม่สั่นคลอนในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตต์ ซึ่งใน ๑,๐๐๐ ชาติแรกนี้จะไม่มีรูปแบบหรือข้อกำหนดใดๆ แต่จะดูความมั่นคงของใจของผู้ที่ถูกทดสอบเป็นหลัก
บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จะจำเพาะเจาะจงลงไปเฉพาะคน ถ้าบุคคลผู้นั้นยังไม่ผ่านบทเรียนใดจนรู้แจ้ง จะต้องกลับไปเรียนรู้ในบทเรียนนั้นจนรู้แจ้งอย่างถ่องแท้
เข้าใจสัจจธรรม เข้าถึงปัญญา และปล่อยความรู้สึกนั้นลงได้อย่างแท้จริง จึงจะถือว่าผ่านบทเรียนบทนั้นๆ
หลังจากผ่านการทดสอบ ๑,๐๐๐ชาติ แต่ในการทดสอบครั้งนี้จะเป็นการทดสอบ
แนวลึก เพราะจะมีรูปแบบและบทเรียนที่ถูกกำหนดมาให้ ผู้ทดสอบจะต้องถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก ตามบทเรียนที่ได้ถูกกำหนดมา เพื่อทดสอบใจว่ายังคงหนักแน่นอยู่หรือไม่
เมื่อผ่าน ๒,๐๐๐ชาตินี้แล้ว ยังต้องถูกทดสอบอีก ๑๐ ชาติ รวมเป็น ๒,๐๑๐ ชาติ เพื่อดูว่าจะมีกำลังใจที่แรงกล้าเพียงใดในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตต์
ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของความปรารถนาแห่งโพธิญาณสายนี้ ยังต้องผ่านการทดสอบกำลังใจอันแข็งแกร่งอีกมากมายนัก เพราะก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล จนได้ชื่อว่า นิตยโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงต่อการตรัสรู้ ผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น จะต้องตั้งใจมั่น
เริ่มแรก พระโพธิสัตต์นั้นดำริไว้ในใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้าคือ นึกอย่างเดียวหรือมโนปณิธาน ยังไม่เปล่งวาจา ปรารถนาใช้เวลาถึง ๗ อสงไขย เรียกช่วงนี้ว่าพระบารมีตอนต้น แต่ยังไม่มีการบำเพ็ญบารมี ๑๐
ช่วงที่สอง พระโพธิสัตต์นั้นเปล่งวาจาปรารถนาว่า “ จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลให้จงได้” แล้วบำเพ็ญพระบารมี ๑๐ พร้อมกับเปล่งวาจาหรือ วจีปณิธาน ปรารถนาพุทธภูมิในทุกๆชาติที่เกิดมาใช้เวลา ๙ อสงไขย เรียกช่วงนี้ว่า พระบารมีตอนกลาง ซึ่งมีการพบเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้พุทธพยากรณ์
ช่วงที่สาม พระโพธิสัตต์ นั้นได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” เป็นพระนิตยโพธิสัตต์ บำเพ็ญบารมีต่อเนื่องนานอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป เรียกช่วงนี้ว่าพระบารมีตอนปลาย
รวมเวลาทั้ง ๓ ช่วง นาน ๒๐ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัปเป็นระยะเวลาของพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ในส่วนของพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ คิดในใจ ๑๔ อสงไขย เปล่งวาจา ๑๘ อสงไขย บำเพ็ญบารมีนับแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ ๘ อสงไขยแสนมหากัป รวม ๔๐ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป พระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะ คิดในใจ ๒๘ อสงไขย เปล่งวาจา ๓๖ อสงไขย บำเพ็ญบารมีนับแต่พุทธพยากรณ์ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป รวม ๘๐ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัปพอดี
ซึ่งในเบื้องต้นนั้นถ้าผู้ใดมีใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่คลอนแคลนในความปรารถนาที่จะเป็นพระโพธิสัตต์ถึง ๒,๐๑๐ ชาติ จะถือว่าผู้นั้นได้ผ่านการทดสอบจะมีผู้ทรงคุณวุฒิของภูแซดูแลและตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาในภูแซจะเริ่มมาเรียนเบื้องต้นที่ขั้นวงไม้ และไล่ลำดับขึ้นขั้นไปเรื่อยๆ
ลำดับวงขั้นหรือวงมีทั้งหมด ๖ วง คือ
วงไม้
วงเหล้ก
วงเงิน
วงทอง
วงคำ
วงแก้ว
เมื่อผู้เรียนสอบผ่านเกณฑ์จะถูกเลื่อนชั้นเรียนในวงที่สูงขึ้นไป เมื่อเข้ามาเรียนในลำดับขั้นของวงแต่ละวงนั้น การเรียนจะเน้นในการเลือกที่จะปฏิบัติ โดยนักเรียนแต่ละคนจะต้องเลือกวางแผนที่จะลงไปเรียนรู้เหล่าสรรพสัตว์โดยจะมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด ในการเลือกเรียนรู้นั้นจะต้องเลือกยุคสมัยและเลือกสิ่งที่จะลงไปเรียนรู้ด้วย โดยจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ประเสริฐ คือ มนุษย์ไปจนถึง เทพ พรหม และสรรพสัตว์ทั่วจักรวาล เพื่อฝึกความอดทน การตัดสินใจแก้ปัญหา เรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนรู้แจ้งในความมีความเป็นไปของสรรพสัตว์ทั้งปวง ลำดับขั้นหรือวงในการขัดเกลาจิตวิญญาณของภูแซ มีทั้งหมด ๖ วง
๑. วงไม้
เป็นขั้นเริ่มต้น บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ จะได้มาเรียนที่ขั้นนี้ ต้องเรียนรู้จนครบ ๑,๐๐๐ชาติ เพื่อทดสอบความมั่นคงและตั้งมั่นของจิตใจว่าไม่คลอนแคลนในความปรารถนาจึงจะได้เลื่อนขั้น ผู้เรียนรู้วงไม้ห้ามออกจากวงจนกว่าจะสอบเลื่อนขั้น ถ้าผู้ใดคลางแคลงใจสั่นคลอน จากความปรารถนาจะหลุดไปจากวงไม้ หลุดไปเป็นพระอรหันต์ไม่สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ วงไม้จะอยู่บริเวณนอกสุดของภูแซ
๒. วงเหล็ก
ผู้ที่ผ่านวงไม้ขึ้นมาวงเหล็ก ต้องไปผ่านการทดลองเพื่อเรียนรู้บทเรียนอีก ๕,๐๐๐ชาติ โดยกลับไปเกิดเป็น คน สัตว์ เพื่อทดสอบและสรุปผลที่ได้จากการกระทำ จนเกิดปัญญารู้แจ้งและย้ำความปรารถนาว่าไม่สั่นคลอนแน่นอน จึงจะผ่านจากขั้นนี้ได้
๓. วงเงิน
ผู้ผ่านจากวงเหล็กขึ้นมาวงเงินจะต้องลงไปทดลองเพื่อเรียนรู้บทเรียนอีก ๑๕๐ ชาติ ในขั้นนี้บทเรียนจะเข้มข้นขึ้นจะยากลำบาก ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าบุคคลนี้มีใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่และปรารถนาโพธิญาณอย่างแท้จริง ผู้มาถึงวงเงินนี้อาจจะได้รับพุทธพยากรณ์ทำนายถ้าพระพุทะเจ้าประสูติขึ้น ณ. ช่วงเวลานั้นพอดี
๔. วงทอง
ผู้ที่ผ่านมาถึงวงนี้ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถ มีใจแน่วแน่มีความเพียรและปัญญาเป็นเลิศ จะได้รับสิทธิ์ว่าจะเลือกเรียนต่อไปในชั้นวงทองหรือจะเป็นครุผู้สอน ใครที่ความรู้ยังไม่แน่นและแตกฉานอย่างถ่องแท้ในเรื่องของบารมี ๓๐ ทัศ มีสิทธิ์จะขอไปศึกษาทบทวนบทเรียนนั้นๆ เพื่อให้รู้อย่างกระจ่างแจ้งได้ตามแต่จะปรารถนา หรือใครจะเป็นครูผู้สอนก็สามารถจะลงมาสอนนักเรียนรุ่นน้องในชั้นที่ต่ำกว่าได้
วงทองจะได้รับพุทธทำนาย ผู้ปรารถนาพุทธภูมิได้รับพุทธทำนายแล้ว ผู้นั้นก็ได้รับการเรียกขานว่า “นิตยโพธิสัตต์” หมายถึง สัตว์ผู้จะตรัสรู้อย่างแน่นอน หรือผู้เที่ยงแท้ต่อการตรัสรู้และยังได้รับดอกไม้ประจำตัว รวมถึงต้นไม้ที่ใช้ในการตรัสรู้ อย่างเช่น พระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าองค์ถัดไปจะตรัสรู้ที่ต้นกากะทิง หรือโพธิสัตต์องค์ที่สิบที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสุมังคละจะตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิงเช่นเดียวกัน วงนี้จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้เรียนหนึ่งคนต่ออาจารย์หนึ่งคน ผู้ที่เรียนมาถึงวงนี้จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ ระเบียบของการเป็นพระโพธิสัตต์และพระมหาโพธิสัตต์จะเรียนลึกลงไปถึง อุปนิสัยของการเป็นพระโพธิสัตต์
- บารมี ๓๐ ทัศ ของการเป็นพระโพธิสัตต์
- อย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในการเป็นพระโพธิสัตต์ ฯลฯ
๕. วงคำ
ผ่านขึ้นมาถึงขั้นนี้จะเป็นทั้งครูผู้สอนและเรียนไปด้วยในขณะเดียวกัน หรืออาจ
จะขอออกมาทำงานช่วยเหลือสรรพสัตว์รวมทั้งทบทวนบทเรียนไปด้วยในขณะเดียวกัน วงนี้จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้เรียนหนึ่งคนต่ออาจารย์หนึ่งคน ผู้ที่เรียนมาถึงวงนี้จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ
- การตรวจเวไนยสัตว์
- การหยั่งข่ายแห่งพระญาณ เพื่อตรวจโลกทั้ง ๓ โลก
- ระบบการทำงานระหว่างทั้ง ๓ โลก ว่าประสานงานกันอย่างไร มีหน่วยงานใดบ้างใครเป็นผู้รับผิดชอบ ฯลฯ
- ๖. วงแก้ว
รอพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปที่จะลงมาตรัสรู้ ผ่านมาถึงขั้นนี้จะทำหน้าที่ในการเป็นครูผู้สอนและออกมาช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพื่อรอเวลาการเป็นพระพุทธเจ้า ขั้นนี้จะคัดและเคี่ยวให้เหลือแต่ระดับหัวกะทิ จะมีจำนวนนักเรียนเหลือเพียง ประมาณ ๘ – ๑๒ คน ผู้ที่เรียนมาถึงวงนี้จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ
- พระพุทธเจ้าควรสอนสัตว์เหล่าใดก่อน
- พุทธศาสน์การปกครอง
- พุทธจริยวัตรของพระพุทธเจ้าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร
- พุทธกิจ พุทธลักษณะ พุทธลีลาปางต่างๆที่พระองค์จะทรงแสดงตามวาระที่เหมาะสม ฯลฯ ซึ่งอานุภาพฝ่ายตรัสรู้เหนือฝ่ายมารอันมีในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
๑. ทานบารมี
๒. ศีลบารมี
๓. เนกขัมมบารมี
๔. ปัญญาบารมี
๕. วิริยบารมี
๖. ขันติบารมี
๗. สัจจบารมี
๘. อธิษฐานบารมี
๙. เมตตาบารมี
๑๐. อุเบกขาบารมี
๑๑. อินทรียปโรปริยัติญาณ คือความรู้ในเรื่องธาตุองค์ประกอบอินทรีย์ที่มีระดับแตกต่างกับสัตว์ทั้งหลาย
๑๒. สยานุสนญาณ คือความรู้ในเรื่องโครงสร้างของกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานสัตว์ทั้งหลาย
๑๓. มหากรุณาสมาบัติญาณ คือความรู้ในการนั่งสมาธิ เข้าสมาบัติด้วยอานุภาพแห่งความกรุณาใหญ่
๑๔. ยมกปาฏิหาริย์ญาณ คือความรู้ในการแสดงปาฏิหาริย์ด้วยธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นคู่ตรงข้ามกัน
๑๕. อนาวรณญาณ คือความรู้ในธรรมที่อยู่นอกพ้นไปจากกิเลส
๑๖. สัพพัญญูตญาณ คือ ความรู้ในธรรมทั้งปวงที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
ซึ่ง ๖ วิชาหลังนี้เป็นอสาธารณญาณ คือ เป็นญาณเฉพาะมีได้ในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น และปณิธานสูงสุดของพระพุทะเจ้าทุกๆพระองค์ คือ นำพาสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากวัฏสงสาร
พระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ มีห้าพระองค์
๑. พระกกุสันธพุทธเจ้า
๒. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
๓. พระกัสสปพุทธเจ้า
๔. พระโคตมพุทธเจ้า
๕. พระเมตไตรย จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระมหาตุลา ซึ่งจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
ตำแหน่งพระตุลา ดูแลพระมหาโพธิสัตต์ที่ได้รับพุทธทำนายแล้ว มีอยู่ ๙ พระองค์
มัณฑกัปหน้ามีสองพระองค์
๑. พระราม จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระรามพุทะเจ้า
๒. พระเจ้าปัสเสนทิดกศล จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมราชาพุทะเจ้า
สารกัปหน้ามีหนึ่งองค์
๑. พระยามาราธิราช จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมสามีพุทธเจ้า
มัณฑกัปหน้ามีสองพระองค์
๑. พระฑีฆชังฆี อสุรินทราหู จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนารทพุทธเจ้า
๒. โสณพราหมณ์ จักเป็นพระพุทะเจ้าทรงพระนามว่า พระรังสีมุนีพุทะเจ้า
มัฑกัปหน้ามีสองพระองค์
๑. สุภพราหมณ์ จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระเทวเทพพุทธเจ้า
๒. โตเทยยพราหมณ์ จักเป็นพระพุทะเจ้าทรงพระนามว่า พระนรสีห์พุทธเจ้า
มัณฑกัปหน้ามีสองพระองค์
๑. ช้างธนบาล หรือช้างนาฬาคีรี จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระติสสะพุทธเจ้า
๒. ช้างปาลิไลย จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสุมังคละพุทธเจ้า
ในการลงไปเรียนบทเรียนต่างๆ รวมทั้งทำภารกิจการงานในโลกมนุษย์
จะต้องละสังขารจากภูแซไป โดยแต่ละวงจะมีหอเก็บสังขารซึ่งเป็นหอประจำของวงนั้นๆ จิตจากการละสังขารจะลงไปปฏิสนธิในโลกมนุษย์ ร่างที่ใช้ตอนอยู่ภูแซจะถูกเก็บรักษาไว้ที่หอเก็บสังขาร
อ้างอิง หนังสือเณรน้อยเที่ยวธุดงค์ - วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช